วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

มะขามป้อม

มะขามป้อม
มะขามป้อม หรือที่ชาวฮินดูเรียกว่า “อะมะลา” หรือ อะมะลิกา” นี้ ตามพระพุทธประวัติก็กล่าวไว้เช่นเดียวกับมะม่​วง คือ ในคราวที่พระองค์เสด็จไปเก็บมะม่วงนั้น ก็ได้ทรงเก็บมะขามป้อมมาด้วยมะขามป้อม เป็นพันธุ์ไม้อยู่ในกลุ่มพวกมะยม และผักหวาน คือสกุล (Genus) Phyllanthus และอยู่ในวงศ์ (Family) เดียวกับไม้ยางพารา คือ วงศ์ Euphorbiaceae เป็นไม้ต้นขนาดเล็กหรือขนาดกลาง ผลัดใบ แต่จะผลิใบใหม่ไว เปลือกสีเขียวอ่อนปนเทา กิ่งจะห้อยย้อยลง เรือนพุ่มรูปร่มกาง ใบเป็นช่อ เป็นฝอยคล้ายขนนกออกสีเขียวอ่อน ๆ ช่อใบแต่ละช่อยาว 7 – 10 ซม. ดอกเล็กสีเขียวอ่อนปนเหลือง ออกติดอยู่ตามกิ่งเล็ก ๆ ดอกเพศผู้และเมียอยู่ต่าง ดอกกัน แต่อยู่ในกิ่งเดียวกัน ผลกลมมีรอยเป็นแนวตามผิวผลตามยาว 6 แนว ผลแก่สีเหลืองอ่อนใส ๆ โตวัดเส้นผ่า ศูนย์กลางประมาณ 1.5 – 2 ซม. รับประทานได้ รสเปรี้ยว ๆ ฝาด ๆ แก้กระหายน้ำได้ดี และใช้เป็นยาสมุนไพรมะขามป้อมเป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าเบญจ​พรรณแล้งทั่วไปในย่านเอเชียเขตร้อน การแพร่พันธุ์ใช้เมล็ด พวกสัตว์ต่าง ๆ เช่น เก้ง กวาง ชอบกิน และเป็นตัวช่วยในการแพร่พันธุ์ได้อย่างดี ประชาชนนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ และใช้ผลรับประทาน ชอบดินที่ระบายน้ำดี เช่น ดินปนทราย และดินลูกรัง ในประเทศไทยมะขามป้อมมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ก้นโตด ทำทวด มั่งคู่ และสันยาส่า เป็นต้น มะขามป้อมที่นำมาปลูก พวกเพลี้ยบางชนิด เช่น เพลี้ยแป้ง ชอบมาเกาะดูดน้ำเลี้ยงกินมาก ถ้าปล่อยไว้เรื่อย ๆ มักจะทำให้ต้นตายได้มะขามป้อมนอกจากจะใช้ผลรับประทานเพื่อแก้กระห​ายน้ำแล้ว ผลยังเป็นยาระบายถ่ายพยาธิเส้นด้ายได้ดีมาก โดยต้องรับประทานในปริมาณที่มากพอสมควร เคยจำได้ว่าในสมัยเด็ก ๆ ตอนพักเรียนกลางวันไม่มีอาหาร กลางวันรับประทานก็ไปเก็บลูกมะขามป้อมมานั่งร​ับประทานจนอิ่ม จึงได้ทราบสรรพคุณด้วยตนเอง